ความสำคัญของการปรับเปลี่ยนสูตรอาหารทางสายในแต่ละช่วงการรักษา

ทำไมเราจึงต้องให้ความสำคัญของการให้อาหารทางสายของผู้ป่วย

อาหารทางสาย

 

เราจะพบว่าอาหารทางสายเป็นทางเลือกที่สำคัญในการให้โภชนาการแก่ผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานอาหารทางปากได้อย่างปกติ และ เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยที่มีปัญหาทางเดินอาหาร โรคเรื้อรัง หรืออยู่ในระยะพักฟื้นจากการผ่าตัด อย่างไรก็ตาม การเลือก และ ปรับเปลี่ยนสูตรอาหารทางสายให้เหมาะสมกับช่วงการรักษาแต่ละระยะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของการรักษา ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน และ ช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาอธิบายถึงความสำคัญของการปรับเปลี่ยนสูตรอาหารทางสายในแต่ละช่วงการรักษา


ทำไมการให้อาหารทางสายจึงมีความสำคัญ

โดยปกติแล้วการให้อาหารทางสายจะให้พลังงาน โปรตีน วิตามิน และ แร่ธาตุที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของผู้ป่วยที่มีข้อจำกัดในการรับประทานอาหารปกติ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันภาวะทุพโภชนาการที่อาจทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้ช้า หรือ เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้ง่ายเช่น แผลกดทับ การติดเชื้อ และภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงเป็นต้น จึงเห็นได้ว่าการให้อาหารทางสายนั้นมีความสำคัญสำหรับผู้ป่วยอย่างยิ่ง แต่ก็ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการดูแลอย่างใกล้ชิดเช่นกัน


การปรับเปลี่ยนสูตรอาหารทางสายตามช่วงการรักษาในแต่ละช่วง

  1. ผู้ป่วยช่วงวิกฤต (Acute Phase)
    โดยผู้ป่วยในช่วงนี้นั้นจะอยู่ในภาวะวิกฤต เช่น ภาวะช็อก การติดเชื้อรุนแรง หรือ หลังการผ่าตัดทันที ร่างกายต้องการพลังงาน และ สารอาหารเพื่อสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกันอย่างยิ่ง  ซึ่งต้องการอาหารทางสายที่ช่วยลดการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ และ ส่งเสริมการฟื้นตัวสูตรอาหารที่แนะนำ
    สำหรับผู้ป่วยประเภทนี้นั้นจะต้องการ สูตรพลังงานสูง (1.5-2.0 กิโลแคลอรี/มิลลิลิตร) ที่มีโปรตีนสูง (1.2-2.0 กรัม/กิโลกรัม/วัน) เพื่อช่วยลดการสลายกล้ามเนื้อ ซึ่งควรเลือกสูตรที่มีกรดอะมิโนจำเป็น เช่น กลูตามีน และ อาร์จินีน ซึ่งช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และ ระวังภาวะ refeeding syndrome ซึ่งอาจเกิดขึ้นหากได้รับอาหารเร็วเกินไป

  2. ผู้ป่วยช่วงฟื้นตัว (Recovery Phase)
    เมื่อผู้ป่วยเริ่มมีอาการดีขึ้น และ เข้าสู่ระยะฟื้นตัว ร่างกายยังคงต้องการพลังงาน และ สารอาหารเพื่อซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และ สร้างกล้ามเนื้อใหม่ โดยสูตรอาหารทางสายที่แนะนำ ได้แก่สูตรอาหารที่มีพลังงาน และ โปรตีนสมดุล (1.0-1.5 กิโลแคลอรี/มิลลิลิตร) และ มีใยอาหารเพียงพอเพื่อส่งเสริมการทำงานของระบบทางเดินอาหาร โดยหากผู้ป่วยมีปัญหาเรื่องระบบทางเดินอาหาร อาจพิจารณาสูตรที่มีโปรไบโอติกส์ หรือ พรีไบโอติกส์เพื่อช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ด้วยได้

  3. ผู้ป่วยช่วงระยะยาว หรือ โรคเรื้อรัง (Chronic Phase)
    เป็นผู้ป่วยที่ต้องได้รับอาหารทางสายเป็นระยะเวลานาน เช่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคทางระบบประสาท หรือ โรคมะเร็ง ซึ่งควรได้รับสารอาหารทางสายที่เหมาะสมเพื่อคงสภาพร่างกาย และ ลดภาวะแทรกซ้อนต่างๆได้ โดยสูตรอาหารที่แนะนำนั้นเป็นสูตรที่มีสารอาหารครบถ้วน และ ปรับตามสภาวะของผู้ป่วย เช่น สูตรที่ลดปริมาณโซเดียมในผู้ป่วยโรคไต หรือ สูตรที่มีไขมันชนิดดีสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ แต่ก็ควรปรับเปลี่ยนปริมาณพลังงาน และ สารอาหารตามภาวะโภชนาการของผู้ป่วยเพื่อป้องกันภาวะขาดสารอาหาร หรือ ภาวะน้ำหนักเกินด้วย


5 ปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงในการปรับเปลี่ยนสูตรอาหารทางสาย

  1. สภาวะทางการแพทย์ของผู้ป่วย – โดยผู้ดูแลผู้ป่วยนั้นควรเลือกสูตรที่เหมาะสมกับโรค และ ภาวะของผู้ป่วยด้วย เช่น โรคเบาหวาน โรคไต หรือ ภาวะทุพโภชนาการ ซึ่งต้องการอาหารทางสายไม่เหมือนกัน

  2. การย่อย และ การดูดซึมของระบบทางเดินอาหาร – หากผู้ดูแลพบว่าผู้ป่วยมีปัญหาเรื่องลำไส้ ควรเลือกสูตรอาหารทางสายที่มีโปรตีนย่อยง่าย หรือ มีใยอาหารละลายน้ำ

  3. ความต้องการพลังงาน และ โปรตีน – ผู้ป่วยแต่ละคนจำเป็นจะต้องปรับสูตรอาหารทางสายให้เหมาะสมกับระยะการรักษา และ กิจกรรมของผู้ป่วยด้วย

  4. ความสะดวกในการให้โภชนาการ –ผู้ดูแลอาจจำเป็นต้องเลือกสูตรอาหารทางสายที่สามารถให้ได้ง่ายผ่านทางสายให้อาหาร เช่น สูตรที่มีความหนืดต่ำสำหรับการให้ผ่านสายขนาดเล็ก

  5. ภาวะน้ำ และ อิเล็กโทรไลต์ – หากผู้ป่วยต้องควบคุมปริมาณน้ำ และ เกลือแร่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีภาวะไตวาย หรือ หัวใจล้มเหลว ผู้ดูแลจำเป็นจะต้องปรับเปลี่ยนอาหารทางสายให้เหมาะสม

จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่าการปรับเปลี่ยนสูตรอาหารทางสายตามช่วงการรักษามีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อผลลัพธ์ทางการฟื้นฟูของผู้ป่วย ซึ่งการเลือกสูตรที่เหมาะสมจะช่วยลดภาวะแทรกซ้อน ส่งเสริมการฟื้นตัว และ ช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ดังนั้น ทีมแพทย์ และ นักโภชนาการควรร่วมมือกันในการประเมิน และ ปรับสูตรอาหารให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายอย่างต่อเนื่อง

แต่หากต้องการผู้ดูแลที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้โดยเฉพาะอีกทั้งยังสามารถดูแลได้อย่างครอบคลุม เราขอแนะนำ Aplusnursinghome   ซึ่งเป็นศูนย์ดูแลผู้ป่วยติดเตียงที่มีบริการครบครันทั้งด้านผู้ป่วยติดเตียง และ ผู้สูงอายุโดยเฉพาะ อีกทั้งผู้สูงอายุจะได้รับการดูแลจากผู้มากประสบการณ์ มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการกายภาพบำบัด ร่างกาย และ จิตใจของผู้ป่วยเป็นอย่างดี มีกิจกรรมมากมาย มีอาหารผู้ป่วยติดเตียงที่เหมาะสมอีกทั้งสามารถให้อาหารทางสายได้อย่างเหมาะสม มีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน เพื่อให้ผู้ป่วยนั้นได้พักฟื้นได้รับการดูแลทั้งด้านร่างกาย และ จิตใจให้เบิกบาน แล้วยังสามารถดูแลคนที่คุณรักด้วยมาตรฐาน ตลอด 24 ชม ทั้งยังมีบุคลากรบริการดูแลผู้ป่วย และ ผู้สูงอายุ โดยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการ และ ทีมพยาบาลวิชาชีพ ให้ผู้เข้ารับบริการมีสุขภาพที่ดีทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และ สังคมอย่างแน่นอน

สนใจดูรายละเอียด และขอคำปรึกษาเกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุ ติดต่อ เอพลัส เนอร์สซิ่งโฮม
โทร : 092-656-5650
Line : @aplusnursinghome
อีเมล : aplusnursinghome@gmail.com